วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559



ความหลากหลายของสัตว์



วัตถุประสงค์  เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ
1. บอกหลักเกณฑ์ในการจำแนกสัตว์ออกเป็นหมวดหมู่ได้
2. อธิบายลักษณะร่วมของสิ่งมีชีวิตที่จำแนกไว้ในไฟลัมเดียวกันได้
3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสัตว์และสายวิวัฒนาการ (phylogeny) ได้


          ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภูมิศาสตร์แถบร้อนชื้น (Tropical Zone ) จึงมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ปริมาณน้ำฝนที่ตกมากในแต่ละปี ทำให้มีความชุ่มชื้นตลอดเวลา มีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ มีสภาพป่าหลายชนิด จึงก่อให้เกิดความหลากหลายของสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า แตกต่างกันออกไปมากมาย เช่น ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ทุ่งหญ้า แอ่งน้ำ แนวปะการัง เป็นต้น จากความหลากหลาย ของสภาพถิ่นที่อยู่อาศัยนี่เอง ประเทศไทยจึงมีความหลากหลาย ของสัตว์ป่ามากตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันมีการสำรวจ พบสัตว์ป่าในประเทศไทยมากมายหลายชนิด โดยจำนวนชนิดของ สัตว์ป่าทีสำรวจพบในประเทศไทยจะมีจำนวนเท่า ๆ กับจำนวนชนิดของ สัตว์ป่าที่สำรวจพบในทวีปยุโรปทั้งทวีปซึ่งสามารถจำแนกสัตว์ป่า ออกเป็นกลุ่ม ๆ คือ กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มนก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน และกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งแต่ละกลุ่มของสัตว์ป่าจะมีความหลาย

หลักเกณฑ์ในการจัดหมวดหมู่สัตว์ 
      ความแตกต่างของโครงสร้างของร่างกายของสัตว์สามารถบ่งบอกถึงวิวัฒนาการและต้นกำเนิดของ สัตว์แต่ละชนิดได้และสามารถนำมาใช้ในการจัดหมวดหมู่ของสัตว์ได้ด้วย สัตว์ที่มีโครงสร้างที่คล้ายคลึง กันหรือโครงสร้างที่มีต้นกำเนิดมาด้วยกันจะมีความสัมพันธ์กันในเชิงวิวัฒนาการ การจัดหมวดหมู่ของสัตว์จะอาศัยลักษณะของโครงสร้างของร่างกายเป็นหลัก โดยเปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่าง ซึ่งความ
เหมือนของโครงสร้างต่างๆ นั้นเกิดจากการที่สัตว์เหล่านั้นผ่านขบวนการทางวิวัฒนาการที่เหมือนกัน ดังนั้นการจัดหมวดหมู่จึงเป็นการบอกว่าสัตว์แต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์กับสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่ สามารถแบ่งออกเป็นพวก monophyletic group และพวก
 polyphyletic groups (อธิบายเพิ่มเติม) เมื่อมีการเปรียบเทียบลักษณะ 
โครงสร้างของสัตว์แล้วพบว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน จะเรียกว่า มีลักษณะที่เป็น homology ซึ่งมีต้นกำเนิดที่แตกต่างจากพวก analogy ซึ่งเป็นลักษณะเกิดจากการปรับตัวของสัตว์
ในการจัดหมวดหมู่ของสัตว์โดยอาศัยความแตกต่างของลักษณะโครงสร้างต่างๆ ของร่างกาย สามารถเปรียบเทียบตั้งแต่การกำเนิดของลักษณะต่างๆ ในสัตว์นั้น รวมทั้งเปรียบเทียบการจัดเรียงตัว และการพัฒนาการต่างๆ การจะจัดหมวดหมู่ของสัตว์ชนิดใดจำเป็นต้องศึกษาตั้งแต่เริ่มมีปฏิสนธิและศึกษาพัฒนาการต่างๆ ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลาของการเจริญเติบโต หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในการจัดหมวดหมู่ประกอบด้วย
      1. การจัดโครงสร้างของเซลล์ การที่ร่างกายประกอบด้วยเซลล์ที่มีการจัดเรียงตัวที่แตกต่างกันไป (อธิบายเพิ่มเติม)
      2. การเรียงตัวของชั้นเนื้อเยื่อ การที่เนื้อเยื่อต่างๆ มาอยู่รวมกันจะต้องมีการเรียงตัวกันเป็นชั้นๆ
เพื่อให้สามารถทำงานประสานกันได้ 

      3. สมมาตรของร่างกาย (symmetry) คือการจัดสมดุลของร่างกายเมื่อแบ่งร่างกายออกโดยใช้ระนาบกึ่งกลาง
      4. ช่องว่างภายในลำตัว (body cavity) สัตว์พวกที่มีสมมาตรแบบครึ่งซีก 
จะมีลักษณะของช่องว่างภายในลำตัวที่แตกต่างกัน 

      5. การพัฒนาการของตัวอ่อน (embriogenic development) เมื่อมีการปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ทั้งสองเพศจะได้ไซโกต ซึ่งรูปแบบของการแบ่งตัวในระยะ early cleavage ของไซโกตที่มีจำนวนเซลล์ 8 เซลล์ จะมีความแตกต่างของการจัดเรียงตัวของเซลล์อยู่ 2 รูปแบบ ทำให้สามารถแบ่งสัตว์พวกที่มีช่องลำตัวที่แท้จริงออกเป็น 2 พวก คือ พวกที่เป็น spiral cleavage และพวก radial cleavage  และกลุ่มเซลล์นี้จะพัฒนาการต่อไปเป็นตัวอ่อนที่มีความแตกต่างกันแยกออกเป็น 2 กลุ่ม พวก Protostome และ deuterostome

การจัดกลุ่มสัตว์
การแบ่งประเภทของสัตว์นั้นมีหลักการแบ่งหลายประเภท นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกชื่อ อริสโตเติลได้แบ่งประเภทของสัตว์โดยใช้เกณฑ์ของกระดูกสันหลังของสัตว์ สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท 
ดังนี้
1.สัตว์มีกระดูกสันหลัง 


สัตว์มีกระดูกสันหลัง (Vertebrate) สิ่งมีชีวิตประเภทนี้มีกระดูกสันหลังหรือไขสันหลัง สิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังเริ่มมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาประมาณ 505 ล้านปี ในยุคแคมเบรียนกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของช่วงยุคแคมเบรียน โครงกระดูกของไขสันหลัง ถูกเรียกว่ากระดูกสันหลัง Vertebrate เป็นไฟลัมย่อยที่ใหญ่ที่สุดใน Chordates รวมทั้งยังมีสัตว์ที่คนรู้จักมากที่สุดอีกด้วย (ยกเว้นแมลง) ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (รวมทั้งมนุษย์)เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังทั้งสิ้น ลักษณะเฉพาะของไฟลัมย่อยนี้คือระบบของกล้ามเนื้อจำนวนมาก เช่นเดียวกับระบบประสาทส่วนกลางที่ถูกวางในกระดูกสันหลังเป็นส่วน ๆ
สัตว์มีกระดูกสันหลัง คือกระดูกสันหลังจะอยู่เป็นแนวยาวไปตามด้านหลังของสัตว์ กระดูกสันหลังจะต่อกันเป็นข้อๆ ยืดหยุ่น เคลื่อนไหวได้มีหน้าที่ช่วยพยุงร่างกายให้เป็นรูปร่างทรวดทรงอยู่ได้และยังช่วยป้องกันเส้นประสาทอีกด้วย สัตว์พวกมีกระดูกสันหลัง นักวิทยาศาสตร์ยังแบ่งออกเป็น 5 พวกคือ

1. สัตว์พวกปลา  ปลา เป็นสัตว์พวกหายใจด้วยเหงือก มีครีบใช้เคลื่อนไหวและทรงตัว มีเกล็ดปกคลุมตัว มีเส้นข้างตัว เป็นส่วนรับความรู้สึกสั่นสะเทือน แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ  
1. ปลากระดูกอ่อน เช่น ปลาฉลาม ปลากระเบน
2. ปลากระดูกแข็ง เช่น ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียน ฯลฯ
โครงกระดูกปลาไม่มีกระดูกแขนขา แต่มีโครงกระดูกเป็นครีบต่างๆ
ปลาแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ ดังนี้
- ชนิดไม่มีเกล็ด เช่นปลาดุก ปลากดเหลือง
- ชนิดมีเกล็ดตามลำตัว เช่น ปลาตะเพียน ปลาช่อน ปลาหมอ ปลานิล
- ชนิดสามารถหากินบนดินเลน ดินชื้นแฉะตามป่าชายเลน เช่น ปลาตีน
- ชนิดเป็นปลาสวยงาม นิยมนำมาเลี้ยงดูไว้เป็นงานอดิเรก เช่น ปลาทอง ปลาการ์ตูน
- ชนิดอาศัยอยู่ในน้ำเค็ม เช่น ปลากระเบน ปลาฉลาม
- ชนิดอาศัยในน้ำจืด เช่น ปลากราย ปลากระดี่
- ชนิดอาศัยอยู่ในน้ำกร่อย เช่น ปลากระพง ปลากระบอก

2. สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ   เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้น Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดหรือขน หายใจด้วยเหงือก, ปอด, ผิวหนัง หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เนื่องจากมีโครงข่ายหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ[1] สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธุ์เมื่ออายุ 23 ปี ออกลูกเป็นไข่อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้มลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้ายปลาเรียกว่า "ลูกอ๊อด" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทั้งภายนอกและภายในอย่างสิ้นเชิง ไปตามวงจรชีวิต ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ หายใจด้วยเหงือก เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนรูปร่างอาศัยอยู่บนบก หายใจด้วยปอดหรือผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งในช่วงระหว่างฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ส่วนใหญ่จะขุดรูจำศีล เพื่อหนีความแห้งแล้ง มิให้ผิวหนังแห้ง ถ้าผิวหนังแห้งจะหายใจไม่ได้และตายในที่สุด เพราะก๊าชจากอากาศต้องละลายไปกับน้ำเมือกที่ผิวหนัง แล้วจึงแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต ระยะนี้จะใช้อาหารที่สะสมไว้ในร่างกายอย่างช้า ๆ นิวต์และซาลามานเดอร์ก็เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหมือนกัน แต่แตกตางกันตรงที่นิวต์และซาลามานเดอร์จะยังคงหางของมันไว้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์เลือดเย็น เช่นเดียวกับสัตว์พวกปลา หรือแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลาน ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานสัตว์ในชั้นแล้วกว่า 6,500 ชนิด
3. สัตว์เลื้อยคลาน  จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Reptiliaมาจากคำว่า Repera ที่มีความหมายว่า "คลาน" เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่มีการดำรงชีวิตบนบกอย่างแท้จริง สัตว์เลื้อยคลานในยุคดึกดำบรรพ์ที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์และยังดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีจำนวนมากถึง 7,000 ชนิด[1] กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งชนิดอาศัยในแหล่งน้ำและบนบก จัดเป็นกลุ่มของสัตว์ที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายในการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์หินอุกกาบาตพุ่งชนโลกมามากกว่า 100 ล้านปีมาแล้ว
ในยุคจูแรคสิค (Jurassic period) ที่อยู่ในมหายุคมีโซโซอิค (Mesozoic era) ซึ่งมีอายุของยุคที่ยาวนานถึง 100 ล้านปี จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด[2] มีสัตว์เลื้อยคลานมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ จนถึงไทรันโนซอรัส เร็กซ์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนมากมายครอบครองพื้นที่ทั่วทุกแห่งในโลก ยุคจูแรคสิคจึงถือเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลานอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้กลุ่มสัตว์บกที่อาศัยในยุคจูแรคสิค เกิดล้มตายและสูญพันธุ์อย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุของการสูญพันธุ์ที่ชัดเจนและแน่นอน
4. สัตว์ปีก  หรือ นก (รวมถึง ไก่, เป็ด, ห่าน, ไก่ฟ้า) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นAves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย
นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น ถ้าหากปราศจากนก คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำรงอยู่ต่อไปของชีวภาคใบนี้
5. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Mammalia มาจากคำว่า Mamma ที่มีความหมายว่า "หน้าอก" เป็นกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ที่มีการวิวัฒนาการและพัฒนาร่างกายที่ดีหลากหลายประการ รวมทั้งมีระบบประสาทที่เจริญก้าวหน้า สามารถดำรงชีวิตได้ในทุกสภาพสิ่งแวดล้อม[1] มีขนาดของร่างกายและรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะของสายพันธุ์ มีลักษณะเด่นคือมีต่อมน้ำนมที่มีเฉพาะในเพศเมียเท่านั้น เพื่อผลิตน้ำนมเพื่อใช้เลี้ยงลูกวัยแรกเกิด[2] เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีขนเป็นเส้น ๆ (hair) หรือขนอ่อน (fur) ปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย เพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิในร่างกาย ยกเว้นสัตว์น้ำที่ไม่มีขน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ไม่จัดอยู่ในประเภทสัตว์กลุ่มใหญ่ คือมีจำนวนประชากรประมาณ 4,500 ชนิด ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับนก ที่มีประมาณ 9,200 ชนิด และปลาอีกประมาณ 20,000 ชนิด รวมทั้งแมลงอีกประมาณ 800,000 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นสัตว์บก เช่น สุนัขช้าง ลิง เสือ สิงโต จิงโจ้ เม่น หนู ฯลฯ สำหรับสัตว์น้ำที่จัดเป็นเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ได้แก่ โลมา วาฬมานาทีและพะยูน แต่สำหรับสัตว์ปีกประเภทเดียวที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมคือค้างคาว ซึ่งกระรอกบินและบ่างนั้น ไม่จัดอยู่ในประเภทของสัตว์ปีก เนื่องจากใช้ปีกในการร่อนไปได้เพียงแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว ยกเว้นตุ่นปากเป็ดและอีคิดนาเท่านั้นที่ออกลูกเป็นไข่

วิวัฒนาการ
จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า สัตว์มีกระดูกสันหลังพวกแรกคือออสตราโคเดิร์ม(ostracoderm) ซึ่งเป็นปลาไม่มีขากรรไกร ปัจจุบันสัตว์ในกลุ่มนี้ที่พบคือปลาปากกลม สัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆที่พบในลำดับถัดมาคือปลามีขากรรไกรพวกแรก เรียกพลาโคเดิร์ม (placoderm) ซึ่งวิวัฒนาการต่อมาเป็นปลากระดูกแข็งและปลากระดูกอ่อนในปัจจุบัน ต่อมาจึงเกิดสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตามลำดับ

2.สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง


สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะโดยทั่วไปของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงกระดูกภายในลำตัว มักจะมีขนาดเล็ก ถ้ามีขาจะมีจำนวนขามาก และมีการเคลื่อนที่แตกต่างกัน แบ่งตามประเภทของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังได้ดังนี้
ประเภทของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
    1. พวกฟองน้ำ สัตว์พวกนี้ลำตัวเป็นโพรง มีช่องเปิดด้านบน มีรูพรุนให้น้ำออก มีหนามหรือเส้นใยเป็นโครงค้ำจุนร่างกาย สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ไม่มีระบบประสาท ส่วนใหญ่อาศัยในน้ำเค็ม เช่น ฟองน้ำต่างๆ
    2.พวกสัตว์ลำตัวมีโพรง สัตว์พวกนี้ลำตัวคล้ายทรงกระบอก มีช่องเปิดออกจากลำตัวเพียงช่องเดียว กลางลำตัวเป็นโพรง เป็นทางให้อาหารเข้า และกักอาหารออกจากลำตัว มีเข็มพิษไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ บางชนิดอาศัยในน้ำเค็ม เช่น แมงกะพรุน ปะการัง ดอกไม้ทะเล และบางชนิดอาศัยในน้ำจืด เช่น ไฮดรา
   3. สัตว์ทะเลผิวขรุขระ สัตว์พวกนี้ตามผิวลำตัวมักหยาบ ขรุขระ และแข็ง เพราะมีสารพวกหินปูนเป็นองค์ประกอบ ไม่มีส่วนหัว บางชนิดร่างกายแยกเป็นแฉก เช่น ดาวทะเล บางชนิดรูปร่างกลมแบน เช่น อีแปทะเลบางชนิดมีหนามยาวทั้งลำตัว เช่น เม่นทะเล บางชนิดมีผิวหนังหนา ขรุขระแต่ไม่แข็ง เช่น ปลิงทะเล สัตว์พวกนี้หายใจโดยใช้ปุ่มตามผิวหนัง สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ส่วนใหญ่เพศผู้และเพศเมียแยกจากกัน
   4. พวกหนอนตัวแบน  สัตว์พวกนี้ลำตัวแบนยาว มีปาก แต่ไม่มีทวารหนัก ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มี 2 เพศในตัวเดียวกัน ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตเป็นปรสิต เช่น พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้
    5. พวกหนอนตัวกลม สัตว์พวกนี้ลำตัวกลมยาว ผิวเรียบ ไม่เป็นปล้อง มีปากและทวารหนัก ไม่มีระบบเลือด ตเพศผู้และเพศเมียแยกกันคนละตัว สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในร่างกาย เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวจี๊ด
  6.  พวกลำตัวเป็นปล้อง สัตว์พวกนี้ลำตัวกลมยาว คล้ายวงแหวน ต่อกันเป็นปล้อง ผิวหนังเปียกชื้น มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด มีระบบประสาท และระบบทางเดินอาหาร สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้ง 2 เพศในตัวเดียวกัน บางชนิดอาศัยบนบก เช่น ไส้เดือนดิน ทากดูดเลือด บางชนิดอาศัยในน้ำ เช่น ปลิงน้ำจืด
  7. พวกมีขาเป็นข้อ สัตว์พวกนี้จะมีขาต่อกันเป็นข้อๆ ลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง มีระบบหมุนเวียนเลือด มีระบบประสาท และมีระบบทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ สัตว์พวกนี้ได้แก่ แมลงต่างๆ ปู กุ้ง แมงป่อง แมงดาทะเล ตะขาบ กิ้งกือ เป็นต้น
   8. พวกหอยและหมึกทะเล สัตว์จำพวกนี้ลำตัวนิ่ม มีหัวใจสูบฉีดเลือด หอยเคลื่อนที่ได้โดยกล้ามเนื้อที่ยื่นออกจากตัว ส่วนหมึกทะเลเคลื่อนที่โดยใช้หนวด และการพ่นน้ำออกจากลำตัว สัตว์พวกนี้ส่วนใหญ่หายใจด้วยปอดและผิวหนัง สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ ออกลูกเป็นไข่ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำเค็ม เช่น หอยและหมึกทะเล บางชนิดอาศัยอยู่บนบก เช่น หอยทาก



คำถามท้ายบท
1.หลักเกณฑ์ในการจำแนกสัตว์มีกี่ข้อ
ก.3  ข.4  ค.5  ง.2
2.สัตว์มีกระดูกสันหลังแบ่งออกได้กี่จำพวก
ก.3  ข.4  ค.6  ง.5
3.จำพวกใดไม่ได้อยู่ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ก.สัตว์เลียงลูกด้วยนม  ข.ฟองน้ำ  ค.สัตว์เลื้อยคล้าน  ง.สัตว์จำพวกปลา
4.สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังแบ่งได้กี่จำพวก
ก.7  ข.4  ค.10  ง.6
5.จำพวกใดจัดอยู่ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ก.สัตว์จำพวกปลา  ข.สัตว์จำพวกฟองน้ำ  ค.สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ  ง.สัตว์ปีก
6.วิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลังพวกแรกคืออะไร
ก.ฟองน้ำ  ข.ไฮดรา  ค.สัตว์ปีก  ง.ออสตราโคเดิร์ม
7.สัตว์มีกระดูกสันหลังมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคใด
ก.ยุคไดโนเสาร์  ข.ยุคแคมเบรียนกลาง  ค.ยุคแคมเบรียนหลัง  ง.ยุคหิน
8.สัตว์จำพวกปลาใช้อะไรในการหายใจ
ก.ปอด  ข.ปาก  ค.เหงือก  ง.คลีบ
9.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของสัตว์พวกฟองน้ำ
ก.ไม่มีระบบประสาท  ข.ลำตัวเป็นโพรง  ค.อาศัยในน้ำเค็ม  ง.มีขาเป็นข้อๆ


จัดทำโดย กลุ่มกล้วยกล้วย
นางสาวศุทธินี  ทองเบ็ญญ์ 5910210746 คณะวิทยาศาสตร์ 
นายวงศธร  เกษราธิคุณ 5910210716 คณะวิทยาศาสตร์